ล่าหนุ่มกระบะขนพริกซัลโว 8 นัดดับคู่กรณีบนโรงพัก ยิงทนายเจ็บด้วย หลังถูกอีกฝ่ายขว้างใส่ด้วยขวด ลงมากระชากชกด้วยสนับมือฟันหัก ดั้งหัก โดยที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน วันนี้ตร. นัดเจรจาคดีทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายเรียกเงิน 9 ล้าน ก่อนเดินยกมือไหว้ขอโทษร้อยเวร ชัก 9 มม.กระหน่ำยิงล้างแค้น ดับคาโรงพักหลักสอง
เวลา 15.30 น. วันที่ 16 ธ.ค. พ.ต.อ.วงกต สุวรรณวัฒน์ ผกก.สน.หลักสอง รับแจ้งเหตุยิงกันตายภายในห้องปฏิบัติการพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง ซอยเพชรเกษม 98 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุอยู่ในห้อง 202 ของโรงพัก เจ้าหน้าที่พบศพ นายคมสัน หรือม่อน อินทร์ฤทธิ์ อายุ 32 ปี อาชีพเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ ในสภาพนอนหงาย สวมเสื้อยืดแขนยาวสีม่วง นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้าที่ตามลำตัว 5 นัด นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บชื่อ นายอนุสร วิชาธร อายุ 33 ปี เป็นทนายความของผู้ตาย ถูกยิงเข้าที่แผ่นหลัง จำนวน 3 นัด อาการสาหัส ถูกนำตัวส่งแพทย์ รพ.เกษมราษฎร์บางแค ไปก่อนหน้านี้ โดยในจุดเกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม.ตกเกลื่อนพื้นจำนวน 8 ปลอก จึงเก็บรวบรวมรายละเอียดที่พบไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนมือปืนที่ก่อเหตุเป็นคู่กรณีซึ่งถูกผู้ตายทำร้ายร่างกาย บนท้องถนนเมื่อราว 4 เดือนก่อนหน้านี้ ทราบชื่อคือ นายพีรสิน หรือพี กุลชุติสิน อายุ 27 ปี อาชีพพ่อค้าขับรถส่งพริกและสินค้าทางการเกษตร หลบหนีไปพร้อมกับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ โดยขับรถกระบะตีตู้ทึบสำหรับส่งของยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่สีขาว ไม่ทราบทะเบียน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าหลบหนีกลับไปบ้านพักที่ย่านถนนพระราม 2 ขณะนี้กำลังฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวไปจับกุมมาดำเนินคดี
SPONSORED
สำหรับมูลเหตุที่เกิดขึ้นมาจากเมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ นายพีรสิน มือปืนได้ขับรถกระบะคันดังกล่าวออกจากบ้านพักย่านพระราม 2 ไปรับสินค้าประเภทพริก ที่ถนนเพชรเกษม ย่านหลักสอง จากนั้นขณะนายพีรสิน กำลังขับรถจะนำสินค้ากลับบ้านพัก เพื่อรอเวลาไปส่งต่อให้กับลูกค้า ขณะที่ขับรถมาทางตรงเลนขวาสุด ช่วงระหว่างซอยเพชรเกษม 90-92 ก็สังเกตเห็นรถยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ 5 ประตู ทะเบียนป้ายแดง ล-6048 กรุงเทพมหานคร ขับเข้ามาประกบจากทางด้านซ้าย แล้วผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวได้เปิดกระจกขว้างขวดใส่ตัวถังรถของ นายพีรสิน จนเกิดเสียงดังที่ประตูฝั่งคนนั่ง โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ได้มีเรื่องราวปาดหน้าหรือมีปัญหาใดๆ กันมาก่อน นายพีรสิน จึงได้จอดรถ และเอื้อมมือไปหมุนกระจกฝั่งคนนั่งข้างๆ ลงเพื่อจะสอบถามว่าคนร้ายทำแบบนี้ทำไม
โดยระหว่างที่ นายพีรสิน เอี้ยวตัวไปลดกระจกลงนั้นได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานด้วย แต่พอคนร้ายเห็นดังนั้น จึงใช้ขวดเครื่องดื่มชูกำลังขว้างใส่เข้ามาในรถอีก 1 ครั้ง ทำให้ขวดกระแทกมือถือของ นายพีรสิน จนหล่นได้รับความเสียหาย ซ้ำในระหว่างที่ นายพีรสิน กำลังเอื้อมมือปิดกระจกฝั่งคนนั่งข้างๆ เพื่อจะขับหนีเพราะเห็นท่าไม่ดี แต่คนขับรถคู่กรณีได้ลงจากรถมาพร้อมเพื่อนผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะหลังอีก 1 คน เข้ามารุมกระชากมือนายพีรสิน ที่พยายามหมุนกระจกรถขึ้น ทำให้ลำตัวนายพีรสินที่ต้องเอี้ยวจากฝั่งคนขับ ถูกคนร้ายดึงโผล่ออกไปทางหน้าต่างประตูฝั่งคนนั่งข้างๆ ตามด้วยการถูกรุมทำร้ายด้วยการใส่สนับมือชกต่อยที่ใบหน้าหลายครั้งจนได้รับบาดเจ็บ พลเมืองดีและหน่วยกู้ภัยต้องรีบนำตัวส่ง รพ.เกษมราษฎร์บางแค ให้แพทย์รักษาอาการดั้งจมูกหัก ฟันหัก 3 ซี่ เบ้าตาบวมปิดทั้ง 2 ข้าง และมีเลือดออกนัยน์ตาทั้ง 2 ข้าง อาการสาหัส
โดยหลังเกิดเหตุญาติๆ นายพีรสิน ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง facebook และนำคลิปเหตุการณ์ในขณะที่นายพีรสิน ถูกก่อเหตุกลางถนนมาลง Social Media เพื่อหาเบาะแส กระทั่งตำรวจสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้ ซึ่งก็คือ นายคมสัน หรือม่อน อินทร์ฤทธิ์ อายุ 32 ปี ผู้ตาย กระทั่งวันนี้ พ.ต.ท.กฤษณะ ทองบ้านบ่อ สว.(สอบสวน) สน.หลักสอง เจ้าของคดีได้เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่าย มาตกลงกันที่โรงพัก โดยผู้ตายได้มาพร้อมกับ นายอนุสร วิชาธร อายุ 33 ปี ทนายความ เพื่อเจรจาชดใช้ค่าสินไหมทั้งกรณีทำร้ายร่างกาย นายพีรสิน จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและกรณีรถเฉี่ยวชนกันทำให้ยานพาหนะได้รับความเสียหาย
ระหว่างที่ นายพีรสิน เรียกร้องค่าเสียหายทั้งสิ้นจำนวน 9 ล้านบาท ต่อหน้าพนักงานสอบสวนนั้นปรากฏว่า ฝ่ายผู้ตายปฏิเสธยืนกราน ว่าไม่สามารถชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้ได้ ทางพนักงานสอบสวน จึงสรุปจะส่งสำนวนคดีฟ้องต่อศาล ทันใดนั้น นายพีรสิน ซึ่งทีแรกออกไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ด้านนอกห้องปฏิบัติการสอบสวน ก็เดินเข้ามาหาคู่กรณีและทนายความที่กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะพนักงานสอบสวน ก่อนตะโกนถามว่า "แล้วมึงทำกูทำไม" จากนั้นยกมือไหว้ พ.ต.ท.กฤษณะ เจ้าของคดี พูดว่า "ผมขอโทษครับ" ก่อนจะชักอาวุธปืนขนาด 9 มม.ออกจากกระเป๋าสะพาย ซัลโวใส่คู่กรณี 8 นัด แล้วหลบหนีไป
{Fullwidth}